เมื่อเร็วๆ นี้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ซึ่งมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีการประชุมและมอบนโยบายให้แก่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) โดยมี ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พร้อมผู้บริหารระดับสูง และเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมประชุม
ภายหลังการประชุม ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยกล่าวถึงแผนการขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ในปี 2563 โดยมุ่งเน้นขยายการลงทุนสู่พื้นที่และชุมชน เพื่อสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้คนในพื้นที่ อีอีซี รวมทั้งบูรณาการการลงทุนในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ผลักดันการบูรณาการงบประมาณในโครงการสำคัญอย่างเพียงพอ การลงทุนร่วมกับเอกชนที่มีความพร้อม
ดร. สมคิดกล่าวว่า สกพอ. มีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ของ อีอีซี โดยส่งเสริมประชาชนในพื้นที่ให้มีสุขภาพดีถ้วนหน้า ประชาชนทุกกลุ่มต้องเข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้ ลดความแออัดของโรงพยาบาล ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้สะดวก รวดเร็ว ได้รับการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง แม่นยำ
ทั้งนี้ มีเป้าหมายในการส่งเสริมด้านการศึกษา โดยมีแผนส่งเสริมการพัฒนาทักษะบุคลากรปรับเข้าสู่ Demand Driven ด้วยการให้เอกชนร่วมจ่ายในรูปแบบของ EEC Model ซึ่งมีทั้งแบบเรียนฟรี มีงานทำ และ แบบที่จ่ายน้อยมีโอกาสทำงานมีแผนพัฒนาบุคลากร 20,000 คนแบบเร่งด่วน จำนวน 120 หลักสูตร เพื่อให้ตรงความต้องการของงานภายใน 1 ปี พร้อมทั้งสร้างบัณฑิตอาสาเพื่อพัฒนาชุมชนเป้าหมาย 120 คน ซึ่งจะเปิดรับรุ่นแรก 30 คนโดยจะเริ่มได้ทันที และผลิตอาชีวะมาตรฐานอินเตอร์ ฝึกอบรมครู พัฒนาสื่อการสอน
สกพอ. ยังมีโครงการสนับสนุนนโยบายด้านกำกับผังเมืองและสิ่งแวดล้อมด้วยพลังสตรี ใช้เครือข่ายสตรี กรมพัฒนาชุมชน เป็นกระบอกเสียง ขยายความเข้าใจ รวบรวมปัญหาและข้อเสนอแนะ รวมทั้งมีแผนจะพัฒนา 3 เกาะ คือ เกาะสีชัง เกาะล้าน และเกาะเสม็ด ให้เป็นพื้นที่ตัวอย่าง สร้างประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ลดความขัดแย้งและร่วมกันพัฒนาความเป็นอยู่ อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ สกพอ. ยังมีแผนจัดการด้านสิ่งแวดล้อมไปสู่ Circular Economy เพื่อให้ก้าวสู่มาตรฐาน BCG พร้อมตั้งเป้าพัฒนาต้นแบบกำจัดขยะครบวงจร ขยะเกิดใหม่ และสะสมในพื้นที่ต้องหมดไปใน 12 ปี
สำหรับ นโยบายด้าน พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน สกพอ. มุ่งเน้นการสร้างรายได้ให้ถึงชุมชน โดยขยายท่องเที่ยวพื้นที่รอง และสร้างโครงการท่องเที่ยวระดับชุมชน เชื่อมโยงทรัพยากรในพื้นที่ คาดว่าจะสร้างรายได้ชุมชน ปีละ 1.2 แสนล้านบาทภายใน 3 ปี เช่น ท่องเที่ยวเชิงเกษตร บ้านตะพง จ.ระยอง ท่องเที่ยววัฒนธรรมทางน้ำจ.ฉะเชิงเทรา ท่องเที่ยวสุขภาพ นันทนาการ จ.ชลบุรี
สกพอ. ยังมีเป้าหมายการเชื่อม SME สู่ตลาดโลก โดยให้ SME ไทยเป็นผู้จัดหาสินค้าและบริการหรือ Suppliers ให้นักลงทุนเทคโนโลยีเป้าหมาย รวมทั้งจัดพื้นที่เฉพาะให้สิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม พร้อมส่งเสริมไปตลาดโลกด้วย E-Commerce รวมทั้งการผลักดันโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor : EFC) ร่วมกับ อบจ.ระยอง ยกระดับเป็นโครงการหลัก ให้เกิดการลงทุนปี 2563 นี้ โดยเตรียมพื้นที่ 23 ไร่ รองรับที่ ต.มาบข่า จ.ระยอง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันในพื้นที่อีอีซีมีประชากรประมาณ 3.4 ล้านคน ซึ่ง สกพอ. มีแผนที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตและมาตรฐานสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างงานให้คนรุ่นใหม่ วัยทำงาน ซึ่งปัจจบันผู้มีรายได้น้อยประมาณ 3.5 แสนคนหรือประมาณ 14% โดยจะต้องเร่งการจัดฝึกอบรมพัฒนาอาชีพเฉพาะกลุ่ม จัดหางานในพื้นที่ร่วมกับจังหวัด อปท. เอกชน และชุมชน พร้อมจัดหางานให้แก่ผู้สูงอายุ โดยตั้งเป้าหมายให้ผู้มีรายได้น้อยกลุ่มนี้ ลดลงภายใน 3 ปี
ที่มา : www.eeco.or.th