บริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน ได้ส่งแผนการก่อสร้างราง และจุดที่ต้องรื้อย้ายสาธารณูปโภค ให้แก่ ร.ฟ.ท. ไปแล้วเมื่อต้นเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรื้อย้ายสาธารณูปโภคที่กีดขวางในพื้นที่ตามแนวเส้นทางก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ซี่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี คาดว่าจะสามารถเข้าพื้นที่ก่อสร้างได้ประมาณปลายปี 2563
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า มีพื้นที่ที่มีปัญหาและเป็นอุปสรรคต่อการสร้างไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นพื้นที่มหาโหด ซึ่งอยู่ในช่วงพญาไทไปจนถึง รพ.วิชัยยุทธ ที่จะก่อสร้างเป็นอุโมงค์ โดยจะต้องทุบอาคารและปั๊มน้ำมันในกรมทางหลวง รวมทั้งตึกพยาบาลในโรงพยาบาลรามาฯ นอกจากนั้ ยังมีท่อส่งน้ำมัน ท่อไซฟอนของ กทม. สายส่งไฟฟ้าแรงสูง ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 500 KV ที่ใช้เชื่อมกำลังผลิตไฟฟ้าในภาคตะวันออกทั้งหมดและภาคกลางเพื่อความมั่นคงของพลังงานไทย
ความกังวลเรื่องการส่งมอบที่ดิน
รายงานข่าวระบุว่า บริษัทฯ มีความกังวลในเรื่องของการส่งมอบที่ดิน เพราะมีอุปสรรคในการรื้อย้ายสาธารณูปโภคต่างๆ และการบุกรุกของประชาชน ทำให้ไม่สามารถเข้าไปก่อสร้างได้ หรือถ้าก่อสร้างได้ ก็จะทำได้เป็นจุดๆ แล้วต้องหยุดไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้อีก
อุปสรรคในการก่อสร้าง
อย่างไรก็ตาม การทำงานช่วงต่อขยายจากพญาไท-ดอนเมือง แม้จะมีระยะทางแค่ 21 กิโลเมตร แต่ก็ถือเป็นช่วงที่มหาโหดที่สุด โดยเฉพาะจุดเริ่มต้นจากพญาไท ซึ่งเป็นพื้นที่แคบ จะต้องรื้อรางรถไฟสายตะวันออกที่ปัจจุบันยังใช้วิ่งอยู่ทั้ง 2 ราง ออกไป 1 ราง
โดยพื้นที่จากกำแพงแนวเขตรถไฟ ซึ่งขยับเข้ามาจนถึงรางรถไฟประมาณ 1 เมตร จะมีท่อส่งน้ำมันใต้ดินขนาด 14 นิ้ว เพื่อใช้ส่งน้ำมันไปในสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ของบริษัท Fuel Pipeline Transportation Limited (FPT) วางขนานแนวเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะต้องรื้อย้ายหรือขยับไปตรงอื่นก่อน เพื่อให้เข้าไปเปิดหน้าดินเพื่อสร้างอุโมงค์ วิ่งแบบคลองแห้ง (Open Trench and Cut & Cover Tunnel) ซึ่งเหมือนถนนลอดทางแยก เป็นผนังสองข้าง ผ่านสถานีจิตรลดาไปจนถึงโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ที่จะก่อสร้างเป็นอุโมงค์ขนาด 17 เมตร เพื่อให้รถไฟไฮสปีดวิ่งไปและกลับ และจะมีบางช่วงต้องก่อสร้างเป็น 2 อุโมงค์เพื่อให้สายสีแดง Missing Link วิ่งไปด้วยกัน
นอกจากนี้ จะต้องเปิดหน้าดินลึกลงไปถึง 10 เมตร จากกิโลเมตรที่ 0 +700 ซึ่งเป็นอุโมงค์ยาวไปถึงวิชัยยุทธ แต่ตรงพญาไทถึงแยกกรมทางหลวงช่วงถนนพระรามที่ 6 พื้นที่จะถูกบีบเหลือ 6-7 เมตร และเมื่อข้ามถนนพระรามที่ 6 ไปจนถึงตึกกรมทางหลวง และปั๊มน้ำมันของกรมทางหลวง ตรงนั้นต้องทุบทิ้งแน่นอน เพราะเป็นช่วงวงเลี้ยวของไฮสปีดที่ต้องใช้พื้นที่เยอะมาก
“ บริษัท FPT ซึ่งเป็นเจ้าของท่อส่งน้ำมัน ได้มาพูดคุยกับ ร.ฟ.ท. ยอมรับว่าการโยกย้ายท่อส่งน้ำมันตรงจุดพญาไท ข้ามฝั่งไปพระรามที่ 6 ยากที่สุด เพราะจะต้องหาพื้นที่บริเวณเดียวกันขยับไปสร้างเป็นท่อส่งน้ำมันชั่วคราว และอุปสรรคใหญ่จะเป็นช่วงถนนพระรามที่ 6 ที่รถวิ่งไปมา จะย้ายท่อชั่วคราวมาไว้เหนือพื้นดินก็ทำไม่ด้ ซึ่ง FPT บอกว่าขั้นตอนรื้อย้ายลำบาก และหนักใจ เพราะเป็นท่อแรงดันสูง ส่งจ่ายไปยังคลังน้ำมันเครื่องบินตรงข้ามดอนเมือง แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องไปหาแนวทางให้ได้ ซึ่งท่อส่งน้ำมันนี้เป็นท่อสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ ต้องใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี กว่าจะได้ท่อ และการรื้อครั้งนี้ต้องรื้อไปถึงดอนเมืองด้วย”

แนวเขตกรมทางหลวง ที่จะมีการทุบแนวเขตและตึก และ ปั้มน้ำมัน ปตท ในกรมทางหลวง
และเมื่อเปิดหน้าดินด้านหลังกรมทางหลวงผ่านแยกศรีอยุธยาหลังกระทรวงการต่างประเทศ และขุดอุโมงค์ยาวไปจนถึงหลังโรงพยาบาลรามาฯ ก็จะเจออุปสรรค ทั้งระบบระบายน้ำ (ในถนน) และบ่อสูบน้ำหลังโรงพยาบาลรามาฯ และในแนวเขตนั้นจะมีอาคารสูงซึ่งเป็นที่พักของพยาบาลภายในโรงพยาบาล น่าจะได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเช่นกัน
ทั้งนี้ อาจต้องมีการทุบตึกหรืออาคารพักของพยาบาล เพราะเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากการก่อสร้างได้ โดยในบริเวณนี้จะมีสาธารณูปโภคที่ต้องรื้อย้ายอีกก็คือ ท่อส่งน้ำของการประปานครหลวง และท่อระบายน้ำต่างๆ ของ กทม.อีก 3-4 แห่ง แต่ที่จะมีปัญหายากที่สุดอีกจุดหนึ่งก็คือ เรื่องของระบบบำบัดน้ำเสีย ซึ่งเป็นท่อไซฟอน ใต้คลองบางซื่อเพื่อส่งเข้าโรงบำบัดที่ดินแดง
“ ปัญหาอยู่ที่ ท่อไซฟอนกว้าง 1.8 เมตร ลึงลงไปในคลอง ซึ่งการก่อสร้างต้องขุดลึกลงไปถึงตัวท่อแน่ๆ เพราะตัวอุโมงค์ไฮสปีดจะอยู่ต่ำกว่าคลอง จะต้องรื้อท่อไซฟอนให้ขึ้นมาอยู่ท้องคลอง แต่ปัญหาอยู่ที่ด้วยสภาวะแรงดันของท่อจะทำให้วิ่งไปถึงโรงบำบัดน้ำเสียดินแดงได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ กทม.จะต้องเข้ามาตรวจสอบและแก้ปัญหาให้ ส่วนเหนือท่อไซฟอนก็จะมีท่อส่งน้ำของการประปานครหลวง (ท่อสีฟ้า) และเหนือขึ้นไป (ท่อสีขาว) ก็จะเป็นท่อส่งน้ำมันของบริษัท FPT จึงต้องแก้ปัญหาร่วมกัน”

ท่อประปา (สีฟ้า) ท่อน้ำมัน (สีขาว) ทั้งนี้ ใต้น้ำเป็นระบบน้ำเสียและท่อไซฟ่อน อยู่ใต้น้ำ

บริเวณอาคารพยาบาล ที่ต้องรื้อ
นอกจากนี้ บริเวณจากสถานีบางซื่อไปยังดอนเมือง ยังมีปัญหาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 230KV ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) พาดผ่านรางรถไฟ ซึ่งเป็นสายไฟขนาดใหญ่มาก แม้จะเป็น 230 KV แต่เป็นสายวงจรคู่ สองชั้น รวมแล้ว 4 วงจร ที่เชื่อมกับโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าแห่งเดียวที่อยู่ใจกลาง กทม. จึงถือว่ามีความสำคัญในระดับ National Grid
“ ตรงนี้อาจจะไม่มีปัญหาอะไรมาก เพราะไฮสปีดเทรนอยู่ในระดับเดียวกันกับสายสีแดง ส่วนรถไฟไทย-จีน จะอยู่เหนือขึ้นไป ซึ่งอาจจะมีอุปสรรคอยู่บ้างก็ไปแก้ไขในเวลานั้น แต่ไฮสปีดเทรน ก็คงต้องปรึกษา กฟผ.เพื่อให้งานเดินได้ แต่ที่คาดว่าจะเป็นอุปสรรคในการก่อสร้างก็คือ ท่อส่งน้ำมันและท่อส่งก๊าซของ ปตท. ซึ่งเป็นท่อที่เตรียมการไว้เพื่อใช้ในศูนย์ราชการ ปัจจุบันยังไม่มีการเปิดใช้ แต่ ปตท. ดูแลและบำรุงรักษามาตลอด โดยท่อก๊าซ ปตท.จะอยู่ตรงสถานีดอนเมือง ซึ่งเป็นจุดที่ไฮสปีดจะไปก่อสร้างพอดี และอีกหนึ่งจุดตรงสถานีหลักสี่ ถนนวิภาวดีฯ มุ่งหน้าดอนเมือง ท่อของ ปตท.ก็จะอยู่ด้านซ้าย ก็ต้องมีการรื้อย้ายเช่นกัน”
รายงานข่าว เปิดเผยอีกว่า บริเวณเสาตอม่อของโครงการโฮปเวลล์เดิม จำนวน 300 ต้น เป็นอีกจุดหนึ่งซึ่งในด้านวิศวกรรมไม่มีปัญหาเรื่องการรื้อย้าย เพียงแต่เสียเวลาและลำบากมากในการลำเลียงออกไปทิ้ง เพราะต้องขนย้านโดยทางรถไฟเพียงทางเดียว และอาจทำให้การก่อสร้างล่าช้าได้เช่นกัน
ดังนั้น ในการก่อสร้างไฮสปีดเทรนสายนี้ จากพญาไท ไปถึงดอนเมือง เพียงแค่ 21 กิโลเมตรจะต้องใช้เวลาทำงานเท่ากับการก่อสร้างจากพญาไทถึงอู่ตะเภา 200 กม. เป็นเพราะพื้นที่จำกัด ถ้าเป็นการก่อสร้างบนพื้นดินปกติ การหลบท่อน้ำมัน หรือสาธารณูปโภคต่างๆ ก็จะทำได้ง่ายกว่าช่วงที่ต้องขุดเปิดหน้าดินทำอุโมงค์ให้รถวิ่งได้

ที่ตั้งสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 230KV, 500 KV
ส่วนพื้นที่ที่จะเป็นอุปสรรคในการก่อสร้างจากสุวรรณภูมิไปจนถึงอู่ตะเภา ยังคงเป็นท่อน้ำมัน Thapp Line ระยะทางประมาณ 44 กิโลเมตร ซึ่งจุดที่จะเป็นปัญหามากที่สุดคือ ตรงที่เป็น Block Station และส่วนที่เป็น Block Valve ซึ่งจะต้องเข้าไปอยู่ในพื้นที่ก่อสร้างจำนวนมาก อีกทั้งยังมีสายส่งไฟฟ้าแรงสูงอีก 16 จุดจากฉะเชิงเทราถึงพัทยา โดยปัญหาหลัก อยู่ที่จุดตัดที่สายส่งไฟแรงสูงขวางทางรถไฟ เพราะรถไฟไฮสปีดเทรน เป็นรถไฟก่อสร้างยกระดับ และสายอยู่ในอากาศ ซึ่งเป็นเหตุให้ตัวของรถไฟจะติดกับสายส่งไฟฟ้าแรงสูง เป็นเรื่องที่รื้อย้ายก็ยาก และสายส่งแรงสูง 2 เส้นอยู่ติดกัน ก็เป็นอันตรายต่อการเดินรถได้ด้วย”
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่หนักใจมากคือ มีสายส่งไฟฟ้า 500 KV อยู่ 1 สายส่ง ถือเป็นโครงข่ายระดับชาติ (National Grid) ที่มีความสำคัญ เพราะถือเป็นระดับกระดูกสันหลัง (Backbone) ที่เชื่อมต่อกำลังผลิตไฟฟ้าในภาคตะวันออกทั้งหมดกับโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าภาคกลาง เพราะตรงนั้นคือ พลังงานไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงของระบบ
“ ทั้งหมด คือ ความยากลำบากที่หน่วยงานเกี่ยวข้องต่างๆ จะต้องช่วยกันแก้ไขเพื่อให้การก่อสร้างเดินหน้าได้โดยไม่ไปกระทบโครงสร้างต่างๆ ที่มีอยู่ ซึ่งเชื่อว่ากระทรวงพลังงานและกฟผ.จะเข้ามาช่วยดูแลและแก้ไขปัญหาได้แน่นอน” รายงานข่าวระบุในตอนท้าย
อนึ่ง การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือบอร์ด EEC ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 ร.ฟ.ท. รายงานว่า จะส่งมอบที่ดิน 72% ภายใน 1 ปี หลังลงนามในสัญญาร่วมลงทุน เพื่อให้เอกชนเริ่มก่อสร้างได้ และที่ประชุมยังได้รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน โดยได้เร่งรัดให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการร่วมกับ ร.ฟ.ท.เพื่อหาทางรื้อย้ายสาธารณูปโภคที่หน่วยงานนั้นๆ เป็นเจ้าของและเป็นอุปสรรคในการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ
อ้างอิง: MGR Online
https://mgronline.com/specialscoop/detail/9620000095565